“The Fiat Standard” เป็นหนังสือและหลักสูตรที่มุ่งอธิบายและวิเคราะห์ระบบการเงินเฟียต (fiat monetary system) ที่ใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน. แรงจูงใจหลักในการเขียนคือความจำเป็นในการ ทำความเข้าใจว่าระบบเฟียตทำงานอย่างไร เพื่อที่จะเข้าใจการเกิดขึ้นและความสำเร็จของ Bitcoin ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นสิ่งที่มาแทนที่ระบบนี้.
ผู้เขียนใช้วิธีการที่คล้ายกับหนังสือเล่มก่อนหน้าคือ “The Bitcoin Standard” โดยสำรวจระบบเฟียตจาก “มุมมองทางวิศวกรรมและการทำงาน” และใช้ “มุมมองของชาว Bitcoin” ในการวิเคราะห์ เพื่อให้มองเห็นสัญญาณสำคัญท่ามกลางความซับซ้อนและเสียงรบกวนจำนวนมาก. แม้ว่าระบบเฟียตจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการเลือกของตลาดเสรี แต่มันก็ยังคงทำงานอยู่ และการทำความเข้าใจหน้าที่ของมันจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงมัน.
หนังสือและหลักสูตรนี้ประกอบด้วย 18 บท/การบรรยาย แบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก:
1. การทำงานของเฟียต (The Operation of Fiat):
◦ ระบบเฟียตสมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นในปี 1971 เมื่อประธานาธิบดีนิกสันยกเลิกการเชื่อมโยงระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กับทองคำ.
◦ แตกต่างจากความเชื่อทั่วไป เงินเฟียตส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกพิมพ์ออกมา แต่ถูก “ให้กู้ยืมเข้าสู่ระบบ” (lent into existence) นั่นคือ เงินใหม่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการออกสินเชื่อใหม่.
◦ ระบบเฟียต ขาดกลไกการปรับความยาก (difficulty adjustment) แบบ Bitcoin ทำให้ปริมาณเงินขยายตัวและหดตัวอย่างไม่เป็นระบบตามพลวัตของตลาดสินเชื่อ.
◦ ภายใต้ระบบเฟียต ผู้คนส่วนใหญ่ มียอดคงเหลือเฟียตเป็นลบ (negative fiat balances) เนื่องจากเป็นหนี้สิน และระบบนี้ ทำลายความสามารถในการออม ทำให้ผู้คนถูกผลักดันให้ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันการเสื่อมค่าของเงิน.
◦ ประโยชน์หลักของเฟียตคือ การจัดหาเงินทุนให้รัฐบาล การช่วยเหลือธนาคาร และที่สำคัญคือ ความสามารถในการเคลื่อนย้ายข้ามพื้นที่ (salability across space) ได้อย่างรวดเร็วและถูกกว่าทองคำมาก ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางวิศวกรรมที่สำคัญที่ทำให้มันสามารถเข้ามาแทนที่ทองคำได้.
2. ผลกระทบของเฟียตต่อชีวิตและสังคม (Fiat Life):
◦ เฟียตทำให้รางวัลทางเศรษฐกิจแยกออกจากการผลิตทางเศรษฐกิจ และเป็นการต่อต้านระเบียบธรรมชาติของโลกที่มนุษย์ต้องต่อสู้กับความขาดแคลน.
◦ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อ อัตราส่วนการลดค่าอนาคต (time preference) ของแต่ละบุคคลและสังคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นในการเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรม การทำลายทุน และสถาบันครอบครัว.
◦ มีผลต่อ อาหารและโภชนาการ (Fiat Food) โดยลดอำนาจซื้อ ทำให้ผู้คนไม่สามารถซื้ออาหารที่มีคุณภาพได้ และรัฐบาลส่งเสริมอาหารอุตสาหกรรมราคาถูกเพื่อปกปิดภาวะเงินเฟ้อ.
◦ มีอิทธิพลต่อ วิทยาศาสตร์และการศึกษา (Science and Education) ทำให้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ถูกบิดเบือนและการพึ่งพิงเงินทุนจากส่วนกลาง ทำให้ขาดการสอบสวนอย่างเสรี.
◦ ส่งผลต่อ เชื้อเพลิงและพลังงาน (Fiat Fuels) โดยภาวะเงินเฟ้อทำให้เชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้น และรัฐบาลส่งเสริมทางเลือกที่ไม่ยั่งยืน.
◦ มี นัยยะทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Implications) ทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจเหนือประเทศอื่น ๆ อย่างมหาศาลผ่านเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินสำรองโลก และทำให้องค์กรอย่าง IMF และ World Bank สามารถดำเนินงานได้โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ.
3. Bitcoin ในฐานะทางออก (The Fiat Liquidator):
◦ Bitcoin ถูกนำเสนอในฐานะ “เทคโนโลยีต่อต้านเฟียต” (anti-fiat technology) ที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากระบบเฟียตได้.
◦ Bitcoin แยกเงินออกจากหนี้สิน ซึ่งตรงกันข้ามกับเฟียตที่ทำให้เงินและหนี้เป็นสิ่งเดียวกัน.
◦ Bitcoin มีความสามารถในการ เคลื่อนย้ายมูลค่าได้ดีกว่าทองคำ (ข้ามเวลา) และดีกว่าเฟียต (ข้ามพื้นที่) ทำให้เป็นสกุลเงินกลางที่เป็นกลางและไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง.
◦ การเพิ่มขึ้นของ Bitcoin อาจนำไปสู่การ ทำลายตลาดตราสารหนี้ และทำให้การเงินแบบส่วนทุน (equity finance) มีบทบาทเหนือการเงินแบบสินเชื่อ.
◦ Bitcoin เป็น แรงจูงใจสำคัญสำหรับการพัฒนาพลังงานราคาถูกและเชื่อถือได้ โดยใช้ประโยชน์จากพลังงานที่มีต้นทุนค่าเสียโอกาสเป็นศูนย์ ซึ่งจะช่วยชีวิตแหล่งพลังงานที่ถูกทำลายโดยภาวะเงินเฟ้อและความหวาดกลัวที่ไม่มีมูล.
◦ ผู้เขียนแย้งว่า Bitcoin ไม่น่าจะนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง (hyperinflation) แต่เป็นเหมือน “การปลดหนี้ครั้งใหญ่” (debt jubilee) ที่ช่วยให้ระบบการเงินอัปเกรดไปสู่ระบบที่เหนือกว่า. Bitcoin สามารถช่วยลดทั้งอุปทานและอุปสงค์ของหนี้เฟียตได้.
◦ อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDCs) อาจเปลี่ยนแปลงการวิเคราะห์นี้ได้.
สั่งซื้อหนังสือ ได้ที่ : https://shorturl.asia/QyP1h