เพราะนี่คือ “มาตรฐานการดูแลพลเมือง” ที่ทั่วโลกยอมรับ
ในช่วงเวลาที่พี่น้องชาวไทยมุสลิมหลายพันคนเดินทางไปร่วมพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย หนึ่งในประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจทุกปี คือ “การส่งทีมแพทย์ไทยไปร่วมดูแลผู้แสวงบุญ” ซึ่งบางคนอาจยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดรัฐบาลไทยจึงต้องจัดสรรงบประมาณและเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพไปด้วย ทั้งที่เป็นกิจกรรมทางศาสนา
บทความนี้จะอธิบายให้ชัดเจนว่า การส่งทีมแพทย์ไปดูแลผู้เดินทางไปฮัจญ์นั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เรื่องของศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่เป็น “ภารกิจด้านมนุษยธรรมและความรับผิดชอบของรัฐ” ที่หลายประเทศทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ และถือเป็นมาตรฐานการดูแลประชาชนในระดับสากล

ไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา แต่คือการดูแลพลเมืองตามมาตรฐาน
รัฐมีหน้าที่ดูแลพลเมืองอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าคนคนนั้นจะเดินทางด้วยเหตุผลใดก็ตาม เมื่อมีการเดินทางไกลของกลุ่มคนจำนวนมากไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญอย่างพิธีฮัจญ์ รัฐจึงควรมีการเตรียมการเพื่อสนับสนุนด้านสุขภาพให้ประชาชนสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย
ในกรณีของการเดินทางไปฮัจญ์ ผู้แสวงบุญจำนวนมากมักมีอายุหลากหลาย ตั้งแต่ผู้สูงวัยจนถึงวัยทำงาน รัฐจึงมีหน้าที่จัดทีมแพทย์คอยดูแลให้คำปรึกษา ตรวจเช็กสุขภาพเบื้องต้น ตลอดจนให้การสนับสนุนเมื่อมีเหตุจำเป็น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับแนวทางของหลายประเทศทั่วโลก
หลายประเทศทั่วโลกก็มีมาตรการเช่นเดียวกัน
หลายคนอาจคิดว่า การดูแลผู้ไปฮัจญ์เป็นหน้าที่เฉพาะของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ประเทศที่มีมุสลิมเป็นส่วนน้อยจำนวนมากก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร หรือแม้แต่สิงคโปร์ ต่างก็มีแผนและทีมงานเพื่อดูแลผู้แสวงบุญในรูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ
เช่น
- ญี่ปุ่น จัดตั้งเจ้าหน้าที่ประสานงานเพื่อช่วยเหลือผู้แสวงบุญ
- จีน โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรมุสลิมมาก มีการส่งเจ้าหน้าที่ดูแลผู้เดินทางอย่างเป็นระบบ
- สิงคโปร์ ใช้หน่วยงาน MUIS ดูแลทั้งด้านสุขภาพ การเดินทาง และคำแนะนำต่าง ๆ
- อังกฤษ จัดทีม “Hajj Delegation” ที่มีบุคลากรทางการแพทย์เดินทางร่วมด้วยทุกปี
- สหรัฐอเมริกา มีองค์กรอิสลามร่วมกับแพทย์อาสาจัดทีมให้บริการผู้ไปฮัจญ์อย่างต่อเนื่อง
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการดูแลสุขภาพของพลเมืองในระหว่างการเดินทางเพื่อประกอบศาสนกิจเป็นเรื่องที่ได้รับความสำคัญในระดับสากล


เพราะสุขภาพที่ดีของคนหนึ่ง ส่งผลต่อทุกคนรอบข้าง
การดูแลสุขภาพของผู้เดินทางไม่ใช่แค่เพื่อประโยชน์ของบุคคลนั้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ครอบครัว คนในชุมชน และเพื่อนร่วมงานมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมเมื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
เมื่อผู้แสวงบุญมีสุขภาพแข็งแรงทั้งขณะเดินทางและขณะกลับถึงบ้าน ก็จะลดความกังวลของครอบครัว และส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ในสังคมโดยรวม ความห่วงใยจึงควรเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการเดินทางและการปฏิบัติศาสนกิจ ซึ่งทีมแพทย์สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพ การดูแลตัวเอง และการพักผ่อนที่เหมาะสมได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไม่ใช่แค่ผู้ไปฮัจญ์ รัฐไทยดูแลประชาชนทุกศาสนา
รัฐไทยมีบทบาทในการดูแลพลเมืองทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด เช่น การอำนวยความสะดวกให้พระภิกษุสงฆ์เดินทางไปแสวงบุญที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย หรือการประสานงานให้คริสตชนได้เดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในต่างประเทศ ซึ่งล้วนอยู่ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐ
การส่งทีมแพทย์ไปดูแลผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมในพิธีฮัจญ์จึงไม่ใช่เรื่องพิเศษเฉพาะกลุ่ม แต่เป็นหนึ่งในกระบวนการดูแลพลเมืองไทยทุกคนในฐานะผู้มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และเป็นผู้เสียภาษีเหมือนกัน


ทีมแพทย์คือผู้ช่วยสถานทูต ทำให้ตอบสนองเหตุการณ์ได้รวดเร็ว
ทุกปีมีผู้เดินทางไปฮัจญ์จากประเทศไทยประมาณ 6,000 คน การรวมตัวในช่วงเวลาเดียวกันเช่นนี้ แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพ
สถานเอกอัครราชทูตไทยในซาอุดีอาระเบียย่อมมีหน้าที่ดูแลคนไทยในต่างแดนตามปกติอยู่แล้ว แต่ในช่วงเวลาพิเศษอย่างนี้ การมีทีมแพทย์จากประเทศไทยเดินทางไปร่วมด้วย ช่วยให้สามารถให้บริการและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้รวดเร็วและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
การดูแลพลเมืองดี คือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ประเทศ
ในเวทีนานาชาติ การแสดงให้เห็นว่ารัฐให้ความสำคัญกับชีวิตของพลเมืองทุกคน ถือเป็นการส่งสารที่ทรงพลังอย่างยิ่งถึงมาตรฐานของประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน การแพทย์ หรือการบริหารจัดการภาครัฐ
การจัดทีมแพทย์ดูแลผู้แสวงบุญจึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “Soft Power” ที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ ว่าเป็นประเทศที่ใส่ใจในศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง
สรุป
การส่งทีมแพทย์ดูแลผู้เดินทางไปฮัจญ์ไม่ใช่เรื่องของศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่คือมาตรฐานของรัฐในการดูแลพลเมืองที่เดินทางไกลในโอกาสสำคัญ เพื่อให้พวกเขาได้รับการสนับสนุนด้านสุขภาพอย่างเหมาะสม มีความมั่นใจ และสามารถปฏิบัติภารกิจทางศาสนาได้อย่างสมบูรณ์
“ไม่ว่าใคร ถ้าเขาคือคนไทย เราต้องดูแลให้ดีที่สุด”
นั่นคือหลักการสำคัญที่รัฐไทยยึดถือ และควรได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนของสังคม
ที่มาเนื้อหา บางส่วนจาก เพจ พูดอาหรับง่ายๆสไตล์ ครูพี่ยู : Kru P’Yu Arabic และ อาบังงง Abanggg
ดูสาระน่ารู้อื่นๆ ได้ที่ สาระน่ารู้ จากเราเพื่อเพื่อนๆทุกคน – Ikhwarn.com